ข้อสังเกตกับนิติปรัชญาสายที่สาม
(สรุปจาก บทความของ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ วารสารนิติศาสตร์)
กุสตาฟ ร้าดบรุค กับนิติปรัชญาสายที่สาม (ค.ศ.1879 – 1949) ร้าดบรุค เริ่มต้นความคิดของเขาจากรากฐานของทฤษฎีความรู้ที่ อิมมานูเอล คานท์ วางไว้ คือ การแยกโลกของ “ความเป็น” ซึ่งเป็นเรื่องของปรากฏการณ์ทางความเป็นจริงกับโลกของ “ความควรจะต้องเป็น” ซึ่งเป็นโลกของคุณค่าต่าง ๆ ออกจากกันอย่างเด็ดขาดก็ตาม แต่ในการอธิบายความหมายของกฎหมาย ร้าดบรุค ไม่ได้จำกัดกรอบอยู่เฉพาะแต่การอธิบายกฎหมายในแง่ของ “ความเป็น” เท่านั้น แต่ยังอภิปรายไปถึงคุณค่าหรือมโนคติแห่งกฎหมายด้วย แนวทางการอธิบายกฎหมายของ ร้าดบรุค จึงแตกต่างจาก ฮันส์ เคลเซ่น ในสาระสำคัญ ทั้ง ๆ ที่ยอดนักนิติศาสตร์ของโลกทั้งสองคนนี้จัดว่าเป็นพวกคานท์ ใหม่เหมือนกัน เคลเซ่น ตัดการอภิปรายคุณค่าต่าง ๆ ออกไปจากวิชานิติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง และมุ่งอธิบายกฎหมายเฉพาะในแง่รูปแบบเท่านั้น เนื่องจาก เคลเซ่น เห็นว่าเรื่องของคุณค่าต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้เหตุผลอย่างเป็นศาสตร์ได้ วิชานิติศาสตร์จึงต้องเป็นวิชาการที่พรรณนาและอธิบายกฎหมายที่เป็นอยู่จริงเท่านั้น ไม่ใช่กฎหมายที่ควรจะต้องเป็น ในขณะที่ ร้าดบรุค พยายามที่จะเชื่อมโยงคุณค่าต่าง ๆ กับการอภิปรายในทางนิติศาสตร์ “กฎหมาย” ในทรรศนะของ ร้าดบรุค จึงไม่ใช่ “ข้อความคิดที่ว่างเปล่าจากคุณค่า” ทำนองเดียวกับวัตถุต่าง ๆ ในโลกของปรากฏการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ศาสตร์เฉพาะสาขาต่าง ๆ มุ่งศึกษาค้นคว้าและอธิบาย แต่ในขณะเดียวกัน “กฎหมาย” ก็ไม่ใช่ “ ข้อความคิดในทางคุณค่า”หรือเป็นสิ่งเดียวกับข้อความคิดในทางคุณค่า (ความยุติธรรม) ซึ่งเป็นสิ่งที่วิชาปรัชญามุ่งศึกษาค้นคว้า สำหรับ ร้าดบรุค แล้ว “กฎหมาย” เป็นข้อความคิดทางวัฒนธรรม กล่าวคือ เป็นข้อความคิดของโลกแห่งปรากฏการณ์หรือโลกแห่งความเป็นที่อ้างอิงเกาะเกี่ยวกันคุณค่า กล่าวอีกนัยหนึ่ง กฎหมายคือความเป็นจริงที่เชื่อมโยงคุณค่า เป็นข้อความคิดที่มีความหมายในการรับใช้ความถูกต้อง ความยุติธรรม ข้อความคิดว่าด้วยกฎหมายจึงเป็นข้อความคิดที่มุ่งตรงไปหามโนคติแห่งกฎหมาย (ความยุติธรรม)ไม่ใช่สิ่งที่อยู่โดดเดี่ยวขาดความเชื่อมโยงกับคุณค่าใดๆ ในแง่ของศาสตร์ต่าง ๆ ที่ศึกษาเกี่ยวกับกฎหมาย ร้าดบรุค แยกพิจารณาออกเป็นสามส่วน คือ
(1) วิชาสังคมวิทยากฎหมาย
(2) วิชานิติปรัชญา
(3) วิชานิติศาสตร์โดยแท้
ทั้งนี้ตามรากฐานความคิดที่กล่าวมาข้างต้น วิชาสังคมวิทยากฎหมาย เป็นวิชาการที่ศึกษาและพรรณากฎหมายในฐานะที่กฎหมายเป็นปรากฏการณ์ของความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม (โลกแห่งความเป็น) วิชานิติปรัชญา เป็นวิชาการที่มุ่งศึกษากฎหมายในแง่ของคุณค่า (โลกแห่งความควรจะต้องเป็น) กล่าวคือมุ่งศึกษาแสวงหากฎหมายที่ควรจะเป็น ในขณะที่วิชานิติศาสตร์โดยแท้ (วิชานิติศาสตร์ในความหมายอย่างแคบ) เป็นคำสอนทั้งหลายทั้งปวงเกี่ยวกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริงในบ้านเมือง ซึ่งมีความเชื่อมโยงหรืออ้างอิงถึงคุณค่าหรือมโนคติแห่งกฎหมาย วิชานิติศาสตร์โดยแท้จึงเป็นวิชาที่อยู่กึ่งกลางระหว่างวิชาการที่ศึกษากฎหมายในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์จริงในโลกของความเป็นกับวิชาการที่มุ่งแสวงหากฎหมายที่ควรจะเป็นในแง่ของวัตถุที่ศึกษาวิชานิติศาสตร์โดยแท้มุ่งศึกษา “กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริงในบ้านเมือง“ ซึ่งหมายถึงกฎเกณฑ์ที่ได้รับการตราขึ้นตามกระบวนการบัญญัติกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ในความเป็นจริงและมีผลใช้บังคับในสังคม ในแง่ของวิธีการศึกษา วิชานิติศาสตร์โดยแท้มีวิธีการใช้และการตีความกฎหมายที่มีเป้าหมายในการค้นหาความหมายของบทกฎหมายที่มุ่งไปยังคุณค่าหรือมโนคติแห่งกฎหมาย
เมื่อพิจารณาข้อความคิดว่าด้วย “กฎหมาย” ของ ร้าดบรุค แล้ว เราไม่อาจที่จะจัดให้ ร้าดบรุคสังกัดอยู่ในสำนักกฎหมายบ้านเมืองหรือสำนักกฎหมายธรรมชาติได้ ตามทรรศนะของสำนักกฎหมายบ้านเมือง กฎหมายคือกฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานที่ได้รับการกำหนดโดยถูกต้องตามรูปแบบและวิธีการ ทั้งนี้โดยมิพักต้องคำนึงว่ากฎหมายที่ได้รับการกำหนดขึ้นนั้นจะมีเนื้อหาอย่างไร สำหรับ ร้าดบรุค แล้วบรรทัดฐานใดบรรทัดฐานหนึ่งจะได้ชื่อว่าเป็นกฎหมายก็ต่อเมื่อบรรทัดฐานดังกล่าวนั้นเป็นบรรทัดฐานที่มุ่งไปยังมโนคติแห่งกฎหมาย นั่นคือความยุติธรรม ไม่ใช่บรรทัดฐานที่มีเนื้อหาอย่างไรก็ได้ แม้กระนั้นเราก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าทรรศนะดังกล่าวของ ร้าดบรุค เป็นทรรศนะของนักคิดในสำนักกฎหมายธรรมชาติ เพราะ “กฎหมาย” ในทรรศนะของ ร้าดบรุค ไม่ใช่สิ่งเดียวกับความยุติธรรมซึ่งถือเป็นคุณค่าอันสัมบูรณ์ บรรทัดฐานที่มุ่งตรงไปยังมโนคติแห่งความถูกต้องเป็นธรรม แม้ว่าจะไม่สอดคล้องกับมโนคติดังกล่าวอย่างเต็มที่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายธรรมชาติคลาสสิค) ที่เห็นว่าบรรทัดฐานใดบรรทัดฐานหนึ่งจะมีค่าบังคับเป็นกฎหมายได้ก็ต่อเมื่อบรรทัดฐานนั้นสอดคล้องกับความยุติธรรมอย่างสมบูรณ์
ร้าดบรุค สร้าง “นิติปรัชญาสายที่สาม” คือ แนวความคิดเกี่ยวกับกฎหมายที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความคิดแบบสำนักกฎหมายบ้านเมืองและความคิดแบบสำนักกฎหมายธรรมชาติจากการประสานคุณค่าสามประการซึ่ง ร้าดบรุค ถือว่าเป็นมโนคติแห่งกฎหมายเข้าด้วยกันคุณค่าประการแรก คือ
1. ความยุติธรรม (Justice) ซึ่งแสดงออกอย่างสัมบูรณ์ในรูปของหลักความเสมอภาค อย่างไรก็ตามโดยเหตุที่เราไม่อาจหา“มาตร “ในการชี้ว่าอย่างไรเสมอภาคหรือไม่เสมอภาคได้อย่างชัดเจนจึงต้องใช้
2. ความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (Purposiveness) ที่จะต้องพิจารณาคุณค่าส่วนบุคคล คุณค่าส่วนรวม (ประโยชน์สาธารณะ) และคุณค่าของงานมาเป็นเครื่องช่วยในการกำหนดเนื้อหาของความยุติธรรมนั้น ซึ่งการกำหนดการชั่งน้ำหนักของคุณค่าต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้อาศัยความรู้ทางวิชาการแต่อาศัยการยอมรับในทางการเมืองและจริยธรรม ซึ่งเป็นความเชื่อและความศรัทธา มีลักษณะสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไปตามประวัติศาสตร์และสังคม ความไม่แน่นอนของคุณค่าทั้งสองที่กล่าวมาจะได้รับการขจัดไปโดยหลักความมั่นคงแห่งกฎหมาย
3.หลักความมั่นคงแห่งกฎหมาย (Legal Certainty) อันเป็นหลักการที่มีคุณค่าเสมอกันกับหลักการความยุติธรรม เป็นการตัดสินใจที่ผูกพันคนในสังคมและชี้ว่าสิทธิหน้าที่ต่าง ๆ ดำรงอยู่อย่างไร หากพิจารณาแนวคิดในทางนิติปรัชญาแล้วจะพบว่าสำนักกฎหมายบ้านเมืองถือเอาหลักความมั่นคงเด็ดขาดแห่งกฎหมายอันเกิดจากการกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ในทางกฎหมายเป็นหลักการเดียวที่มีคุณค่าสูงสุด ในกฎหมายนั้นจะไม่ยุติธรรม กฎหมายนั้นก็มีค่าบังคับ (Legal Validity) ที่บุคคลต้องปฏิบัติตาม ในขณะที่สำนักกฎหมายธรรมชาติเชื่อถือศรัทธาต่อหลักความยุติธรรมไม่เปลี่ยนแปลง หากกฎหมายใดขัดกับหลักความยุติธรรมแล้วบุคคลหามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวไม่
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ แม้ว่า ร้าดบรุค จะคำนึงถึงคุณค่าของหลักความมั่นคงแห่งกฎหมายและหลักความยุติธรรม แต่หากเกิดความขัดแย้งกันขึ้นระหว่างหลักการทั้งสองประการแล้ว ร้าดบรุค จะเลือกเดินทางใด
ในช่วงก่อนที่รัฐบาลนาซีจะขึ้นเถลิงอำนาจในเยอรมัน อันเป็นช่วงที่ ร้าดบรุค ยังอยู่ในวัยหนุ่มนั้น ร้าดบรุค ให้ความสำคัญกับหลักความมั่นคงแห่งกฎหมายอย่างมาก แม้กระนั้นก็เห็นได้จากงานเขียนในช่วงนั้น (ค.ศ.1914) ว่า ร้าดบรุค ไม่ได้ยอมรับค่าบังคับของกฎหมายที่เห็นประจักษ์ชัดว่าไม่ถูกต้อง ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จากประสบการณ์อันขมขื่นที่เกิดขึ้นในยุคที่รัฐบาลนาซีครองอำนาจทำให้ ร้าดบรุค หันมาให้น้ำหนักกับหลักความยุติธรรมมากขึ้น แม้กระนั้นก็ต้องเข้าใจว่า ร้าดบรุค ไม่ได้ทิ้งความคิด “นิติปรัชญาสายที่สาม” ของตนและหันไปยอมรับนับถือข้อความคิดว่าด้วยกฎหมายสำนักกฎหมายธรรมชาติแทน ร้าดบรุค ไม่เคยยอมนำหลักการว่าด้วยความมั่นคงแห่งกฎหมายอันเป็นมโนคติทางกฎหมายที่สำคัญไป “เซ่นสังเวย” กฎหมายธรรมชาติที่ยังคงเต็มไปด้วยความคลุมเครือในแง่เนื้อหาแต่อย่างใดแต่ ร้าดบรุค ได้ให้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่าบรรทัดฐานใดจะมีค่าบังคับเป็นกฎหมายหรือไม่ไว้ใน ค.ศ 1946 ดังนี้
1. “ความขัดแย้งระหว่างความยุติธรรมกับความมั่นคงแห่งกฎหมาย” น่าจะต้องแก้ไขคลี่คลายโดยการให้กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในบ้านเมือง อันเป็นกฎหมายที่ได้รับการตราขึ้นตามกฎเกณฑ์และโดยมีอำนาจนั้นอยู่ในฐานะเหนือกว่า ถึงแม้ว่ากฎหมายดังกล่าวนั้นจะมีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้องและไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ก็ตาม เว้นเสียแต่ว่าความขัดแย้งระหว่างกฎหมายที่ตราขึ้นกับความยุติธรรมอยู่ในระดับที่ไม่อาจทนทานได้อีกต่อไป หากเป็นดังนั้นกฎหมายที่ตราขึ้นซึ่งเป็น
2 .“กฎหมายที่ไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม” จะต้องจำนนต่อความยุติธรรม การขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจนระหว่างกฎเกณฑ์ที่ตราขึ้นและเป็นกฎเกณฑ์ที่ อยุติธรรมซึ่งไร้ผลบังคับกับกฎหมายที่แม้จะมีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้องก็ยังถือว่าเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับได้ เป็นสิ่งที่ไม่อาจกระทำได้แม้กระนั้นก็ตามเราอาจหาเส้นแบ่งในลักษณะอื่นได้อย่างชัดเจน ที่ใดก็ตามที่ไม่มีความพยายามในการมุ่งแสวงหาความยุติธรรมแม้แต่น้อย ที่ใดก็ตามที่ไม่แยแสใยดีหลักความเสมอภาพอันเป็นแกนของความยุติธรรมในการตรากฎหมาย กฎหมายที่ได้รับการตราขึ้น ณ ที่แห่งนั้นย่อมไม่เป็นเพียงแค่กฎหมายที่มีเนื้อหาไม่ถูกต้องเท่านั้น แต่กฎเกณฑ์ดังกล่าวนั้นไม่มีค่าเป็นกฎหมายเลยแม้แต่น้อย เพราะเราไม่สามารถที่จะให้นิยามความหมายของกฎหมายไม่ว่าจะเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นหรือไม่ในลักษณะอื่นได้ นอกจากจะให้นิยามว่าเป็นระเบียบและกฎเกณฑ์ที่โดยเนื้อแท้แล้วได้รับการกำหนดขึ้นเพื่อรับใช้ความยุติธรรม
หลักการที่ ร้าดบรุค ให้ไว้ดังกล่าวนั้น ต่อมาเป็นที่รู้จักกันในนาม “สูตรของร้าดบรุค” (Radbruchsche, Formel, Radbruch Formula) เกณฑ์ดังกล่าวที่ ร้าดบรุค ได้ให้ไว้นั้น ในเบื้องแรกได้รับความสนใจอย่างมากในทางวิชาการ ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันได้ใช้เป็น กฎเกณฑ์ในการวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของรัฐบัญญัติ และในช่วงที่ประเทศเยอรมันรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันใน ค.ศ.1990 สูตรของร้าดบรุค ก็ได้รับการพูดถึงอย่างมากและเป็นแนวทางที่ศาลนำไปใช้ในการตัดสินคดีในบริบทที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมของรัฐที่เกิดขึ้นในเยอรมันตะวันออกช่วงก่อนรวมประเทศด้วย